"สุขภาพดี เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ" แพทย์แนะอายุ 35 อัพ ! ควรตรวจสุขภาพ ค้นหาความเสี่ยง "โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง"
"สุขภาพดี เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ" แพทย์แนะอายุ 35 อัพ ! ควรตรวจสุขภาพ ค้นหาความเสี่ยง "โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง"
( news update 11 มกราคม 2019 ) สุขภาพของเรานั้น ต้องบอกว่า การมีสุขภาพดี เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ ผู้ที่มีสุขภาพที่ดีนั้นต้องมีร่างกายแข็งแรง มีจิตใจที่ร่าเริงแจ่มใส เข้มแข็ง อดทน และมองคนในแง่ดี
ซึ่งการจะมีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจนั้นขึ้นอยู่กับการปฎิบัติตัวในชีวิตประจำวันของแต่ละคน เช่น การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย การกินอาหาร การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การพักผ่อน เป็นต้น
เว็บไซต์สุขภาพ medhubnews.com รายงานว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมาแนะประชาชนอายุ 35 ปี ขึ้นไปตรวจสุขภาพประจำปี ค้นหาความเสี่ยงโรคไม่ติดต่อเรื้อรังเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจวายเฉียบพลัน
กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ประเทศไทยมีประชาชนเสียชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ยปีละ 54,000 คนหรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 6 คน เป็นสาเหตุการตายของคนไทยสูงสุด สามลำดับแรก ร่วมกับมะเร็งและอุบัติเหตุ
ส่วนใหญ่การป่วยและเสียชีวิต มักเป็นอย่างฉุกเฉินไม่รู้ตัวมาก่อน และเกิดในคนที่ดูปกติไม่ทราบว่าเป็นโรคหัวใจมาก่อน ข้อมูลของประเทศสหรัฐอเมริกาพบการเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลันปีละ 300,000 – 400,000 รายต่อปี
โดยพบในกลุ่มนักกีฬาในอัตราส่วนประมาณ 1 ต่อ 65,000 ถึง 1 ต่อ 200,000 สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่มีการเก็บสถิติภาวะนี้อย่างเป็นระบบจึงยังไม่มีรายงานตัวเลขที่ชัดเจน
สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจมาจากโรควิถีชีวิตและพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ความอ้วน และสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจแข็งตัว หรือตีบตัน ดังนั้นผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป
จึงควรตรวจสุขภาพประจำทุกปี เพื่อติดตามประเมินภาวะสุขภาพ ซึ่งหากพบมีผิดปกติจะได้รับการส่งต่อเพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด หรือรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่อไป
ในการลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่เป็นปัจจัยหลักของภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ทำได้โดยรับประทานอาหารสุขภาพ เช่นผัก, ผลไม้, พืชเมล็ดถั่ว, ปลารสไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เช่นเดินเร็วประมาณ 30 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสมไม่สูบบุหรี่ผู้ป่วยเบาหวานความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง รักษาอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตนตามคำแนะนำแพทย์
สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ แนะนำให้ออกกำลังกายระดับปานกลาง เช่น เต้นแอโรบิค เดินเร็ว ขี่จักรยาน วิ่งเหยาะๆ และว่ายน้ำ ที่สำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ผู้รักษาก่อน และออกกำลังแต่พอเหมาะ เริ่มเบาๆ ค่อยเป็นค่อยไป หยุดพักเมื่อเริ่มเหนื่อยหรือแน่นหน้าอก
หลังจากที่เริ่มเคยชินก็ค่อยๆ เพิ่มเวลาของการออกกำลังกายจนสามารถทําได้อย่างต่อเนื่องนานอย่างน้อย 15 นาทีขึ้นไป ที่สำคัญต้องไม่ลืมเตรียมร่างกาย ( Warming up and down ) ก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง
ผู้ที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน หากได้รับการช่วยเหลืออย่างถูกวิธีและทันท่วงที ก็ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยได้ ดังนั้นหากพบผู้หมดสติให้เรียกหรือเขย่าตัวผู้หมดสติว่ายังมีการตอบสนองหรือไม่ ถ้าไม่มีการตอบสนอง ให้สังเกตว่าผู้ป่วยมีอาการกระตุกหรือชักเกร็งหรือไม่ หรือหายใจเฮือก หรือหยุดหายใจ
ถ้ามีให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจหยุดเต้นฉับพลัน จากนั้นให้รีบโทรศัพท์แจ้งขอความช่วยเหลือ1669 และเริ่มการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานด้วยการนวดหัวใจ
หากบริเวณนั้นมีเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า ( Automated External Defibrillator หรือ AED )ให้นำเครื่องมาใช้ตามคำแนะนำที่ติดอยู่ที่เครื่องทั้งนี้ สัญญาณอาการของโรคหัวใจ
ได้แก่ เจ็บแน่นหน้าอกคล้ายถูกของหนักกดทับ ปวดร้าวไปที่ไหล่ แขนด้านซ้าย หายใจลำบาก หากมีอาการที่กล่าวมาให้รีบนั่งพัก บอกเพื่อน ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด เพื่อนำส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดทันทีหรือโทรแจ้งสายด่วน 1669
สำหรับ การกระตุกหัวใจด้วย AED เครื่องจะตรวจสอบ "สภาพไฟฟ้าหัวใจ" ของผู้ป่วยโดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องตั้งค่าอะไรยุ่งยากเลยเพราะเครื่องออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายที่สุด ขั้นตอนการใช้งานจะมีเพียง 3 ขั้นเท่านั้น 1 แปะ Electrode pads เข้ากับหน้าอกผู้ป่วย
2 รอเครื่องตรวจสอบคลื่นหัวใจ (ระหว่างนั้นเครื่องจะพูดออกมาให้รอ , ห้ามแตะร่างกายผู้ป่วย) 3 หากจะต้อง Shock เครื่องจะพูดออกมาให้เรากดปุ่ม Shock พร้อมแสดงไฟสัญญาณที่ปุ่มนั้น
หลังจากนั้นเครื่องก็จะตรวจสอบอีกครั้งว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นอย่างไร ต้องทำอะไรต่อหรือไม่ โดยเครื่องจะแนะนำออกมาทุกครั้ง เครื่องนี้ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนใช้งานได้ โดยไม่ต้องตั้งค่าตัวเลขอะไรยุ่งยากเลย
เมื่อเครื่องปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปแล้ว มันจะทำการกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจทั้งหมดเพื่อให้หัวใจที่กำลังผิดปกติอยู่นั้น เกิดสิ่งที่เรียกว่า Depolarization
ทำให้ activity ทางไฟฟ้าในหัวใจหยุดหมดจึงทำให้มีช่วงว่างให้กล้ามเนื้อหัวใจมีโอกาสรับคลื่นไฟฟ้าได้ใหม่ทำให้มีโอกาสกลับมาเต้นแบบปกติได้
22 ธันวาคม 2565
ผู้ชม 2262 ครั้ง