ระบบสุขภาพไทย เริ่มสนใจ มองเห็น “ความท้าทาย” ของการวิจัยแล้ว เริ่มพัฒนา “ยาพ่นจมูก” เป็น "ผลิตภัณฑ์แรกของไทย"
ระบบสุขภาพไทย เริ่มสนใจ มองเห็น “ความท้าทาย” ของการวิจัยแล้ว เริ่มพัฒนา “ยาพ่นจมูก” เป็น "ผลิตภัณฑ์แรกของไทย"
ผู้สื่อข่าวกองบรรณาธิการ medhubnews.com เว็บไซต์สุขภาพของคนรุ่นใหม่ รายงานว่า ภญ.อภิชชา โยธาประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ องค์การเภสัชกรรม กับ ศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่ เพื่อร่วมกันพัฒนาด้านเทคโนโลยีเภสัชกรรม
การศึกษาความคงสภาพ การศึกษาพรีคลินิก และการศึกษาคลินิก ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ผลิตภัณฑ์ยาใหม่จากยาตัวเก่าที่เคยขึ้นทะเบียน
โดยมุ่งหวังเพื่อเพิ่มประสิทธิผลในการรักษาให้มากขึ้น และ ยาสามัญรายแรกที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น ( First generic drug ) ตลอดจนการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ การบริหารทางวิชาการ และการพัฒนาบุคลากรในสาขาที่เกี่ยวข้อง
ภญ.อภิชชา โยธาประเสริฐ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ กล่าวว่า ปัจจุบันระบบสาธารณสุขของไทย มีค่าใช้จ่ายด้านยาเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายหลัก โดยมากกว่าครึ่งเป็นยาราคาสูงที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
องค์การเภสัชกรรมในฐานะหน่วยงานสำคัญของประเทศ ในการส่งเสริมการเข้าถึงยาสามัญที่มีคุณภาพ ประสิทธิผล และความปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสม จึงมีการพัฒนา และเตรียมความพร้อมตลอดเวลา
ทั้งในด้านบุคลากร และมาตรฐานการผลิต โดยปัจจุบันองค์การฯ ได้รับการรับรองมาตรฐาน PIC/S GMP นอกจากนี้องค์การฯ ยังมีศูนย์ศึกษาชีวสมมูลที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน GLP จาก สำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
และกำลังอยู่ระหว่างการขอรับรองมาตรฐานจาก National Pharmaceutical Regulatory Agency ประเทศมาเลเซียอีกด้วย
นอกเหนือจากการตอบสนองความต้องการของประเทศในด้านผลิตภัณฑ์ยาสามัญ องค์การฯ ตระหนักถึงความสำคัญ และความท้าทายในการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่ ผลิตภัณฑ์ยาใหม่จากตัวยาเก่าที่เคยขึ้นทะเบียน และยาสามัญรายแรกที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น
มีประสิทธิผลการรักษาที่สูงขึ้น เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์การวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ 20 ปี และเพื่อเป็นหน่วยงานต้นแบบของประเทศในการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่อย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล
โดยโครงการแรกที่องค์การฯ จะดำเนินการร่วมกันกับศูนย์วิจัยและพัฒนายา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นั้น คือการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาพ่นจมูก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่มีการผลิตในประเทศไทย โดยยาดังกล่าวใช้รักษาผู้ป่วยภูมิแพ้ ใช้รักษาอาการ ผิดปกติทางจมูก เช่น คันจมูก จาม น้ำมูกไหล คัด แน่นจมูก อาการผิดปกติทางตา
เช่น คันตา แสบตา น้ำตาไหล ตาแดงที่เกิดจากโรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ชนิดเป็นเฉพาะฤดูกาล โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ชนิดเป็นตลอดทั้งปี
ด้านศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนายาฯ ขึ้นเพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยและพัฒนาสารใหม่เพื่อให้ได้ตัวยาใหม่
ตลอดจนพัฒนาตัวยาเดิมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ยาใหม่ โดยใช้กระบวนการบูรณาการศาสตร์และนวัตกรรมสาขาต่างๆ ในการวิจัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ทั้งสององค์กร ที่มาร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ ต่างก็มีจุดแข็งที่เมื่อได้มาร่วมมือกันจะสามารถช่วยกันพัฒนาศักยภาพในการผลิตยาใหม่ของอุตสาหกรรมยาในประเทศ
ตลอดจนช่วยสร้าง นักวิจัยทักษะสูง ที่จำเป็นต่อการวิจัย และพัฒนายาใหม่ในประเทศ ทำให้เกิดโครงสร้างเกื้อหนุนการวิจัยและพัฒนายาใหม่ตามแบบมาตรฐานสากลอย่างยั่งยืน เกิดผลสัมฤทธิ์เพื่อประเทศชาติต่อไปในอนาคต
“การร่วมมือทางการวิจัยและพัฒนาในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายมุ่งหวังที่จะก่อให้เกิดการสร้างเครือข่ายและยกระดับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาใหม่ของประเทศให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
โดยมีข้อมูลทางวิชาการรองรับทั้งในด้านคุณภาพ ประสิทธิผลและความปลอดภัย ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับบุคคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่มีราคาสูง และประหยัดค่าใช้จ่ายด้านยาให้กับประเทศ
นอกจากนี้เรามุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคต ไทยสามารถพัฒนายาใหม่เพื่อส่งออกต่างประเทศด้วยในที่สุด ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติเป็นอย่างมาก”
12 มกราคม 2562
ผู้ชม 1758 ครั้ง