เมืองพริบพรีพรหมลิขิต “การะเกด” พาครอบครัวหนีไป “เมืองพริบพรี” เพราะเหตุใด?

บทความ

เมืองพริบพรีพรหมลิขิต “การะเกด” พาครอบครัวหนีไป “เมืองพริบพรี” เพราะเหตุใด?

 

เมืองพริบพรีพรหมลิขิต “การะเกด” พาครอบครัวหนีไป “เมืองพริบพรี” เพราะเหตุใด?

 

ในละคร “พรหมลิขิต” ตอนจบ คุณหญิง “การะเกด” และสามี ออกญาวิสูตรสาคร (พ่อเดช) ตัดสินใจที่จะพาครอบครัวย้ายไปอาศัยอยู่ที่ “เมืองพริบพรี” หรือ “เพชรบุรี” หลายคนก็คงจะนึกสงสัยว่า ทำไมถึงต้องย้ายไปยังที่นั่น ใช่ด้วยเหตุว่า เพื่อหลีกหนีสงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 ที่พม่าจะยกกองทัพมาโจมตี หรือไม่?

 

ประเด็นของคำถามนี้จึงอยู่ที่ว่า เมืองพริบพรี เป็นอย่างไรในช่วงสงครามเสียกรุง

คำตอบคือ ไม่รอด!

 

ทั้งนี้ ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า สงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 มีการทำสงครามแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ ๆ คือ ช่วงแรก พ.ศ. 2303 ที่พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่ายกกองทัพมาด้วยพระองค์เอง และช่วงที่สอง พ.ศ. 2307-2310 ในช่วงที่พระเจ้ามังระเป็นกษัตริย์พม่า

 

ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีว่า สงครามทั้งสองช่วง เมืองเพชรบุรีอยู่ในเส้นทางเดินทัพของพม่า และก็ไม่รอดพ้นจากการศึกสงคราม

สงครามช่วงแรก พงศาวดารระบุว่า “…พระเจ้าอังวะจึงดำเนินทัพเข้ามา ณ เมืองกุย เมืองปราณ เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี…” แม้กรุงศรีอยุธยาจะไม่เสียแก่พม่าในสงครามช่วงนี้ แต่สงครามในครั้งหลัง เมื่อพม่ายกกองทัพมาอีก เมืองเพชรบุรีก็ต้องรับศึกพม่าอีกครั้ง ดังความว่า “…ครั้นปรึกษาพร้อมกันแล้ว ก็ดำเนินพลพยุหโยธาทัพ สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งปวงเข้าตีเมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองกาญจนบุรี ยกมาบรรจบกัน ณ บ้านลูกแก…”

 

เช่นเดียวกับ พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน (ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน) ก็กล่าวถึงเมืองเพชรบุรีในสงครามช่วงแรกว่า “…ฝ่ายทับหน้าพม่าก็ยกมาทางเมืองกุย เมืองปราน เมืองชอ่ำ เมืองเพชบูรีย์ เมืองราชบูรีย จนถึงเมืองสุพรรณบูรี ไม่มีหัวเมืองใดต่อรบแตกหนีไปสิ้น…”

 

และสงครามในครั้งหลัง ราว พ.ศ. 2308 เมืองเพชรบุรีก็เจอสงครามประชิดเมืองเช่นกัน ดังความว่า “…พม่าก็ยกไปตั้งค่ายอยู่ ณะ ตอกระออม แลดงรัง หนองขาว ให้ต่อเรือรบเรือไล่อยู่ที่นั้นแล้วจัดทับให้ยกแยกกันไปตีเมืองราชบูรี เมืองเพชร์บูรี มิได้มีผู้ใดต่อรบ ยกครอบครัวหนีเข้าป่าไปสิ้น พม่าเที่ยวไล่ค้น จับผู้คนครอบครัวได้บ้าง แล้วยกกลับไปยังค่ายซึ่งตั้งอยู่ที่นั้น…”

 

นั่นจึงหมายความว่า เมืองเพชรบุรีในสงครามช่วงที่สองนี้ อาจไม่ได้ต่อกรรบกับกองทัพพม่าเลย เพราะชาวบ้านต่างก็หนีเข้าป่าเอาตัวรอดกันไปจนหมด

 

สรุปแล้ว เมืองเพชรบุรีในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ไม่รอดพ้นเงื้อมมือของกองทัพพม่า ถ้าเป็นเช่นนั้น การะเกดพาครอบครัวไปเมืองเพชรบุรีด้วยเหตุอื่นใดกันแน่?

 

คำตอบก็หนีไม่พ้น “สงคราม” แต่เป็น “สงครามกลางเมือง” ในช่วงปลายรัชกาลพระเจ้าท้ายสระนั่นเอง

 

สงครามกลางเมืองครั้งนี้นับว่าส่งผลกระทบต่อกรุงศรีอยุธยามากทีเดียว การรบราฆ่าฟันกันเองในหมู่พระราชวงศ์และขุนนางน้อยใหญ่ ส่งผลเสียที่คาดไม่ถึงตามมาในระยะยาว นั่นคือ การขาดกำลังคน เพราะฝ่ายพ่ายแพ้ที่ต้องโทษประหาร เจ้านายบางคนหรือขุนนางบางคนคงเป็นผู้มีความรู้ความสามารถต่อการบริหารราชการแผ่นดินอยู่ไม่มากก็น้อย

 

ดังที่ รัชกาลที่ 5 เคยมีพระราชวิจารณ์ถึงเรื่องนี้ว่า

 

“…แผ่นดินขุนหลวงท้ายสระเคราะห์ดีไม่ต้องฆ่าใคร แต่ขุนนางแผ่นดินขุนหลวงเสือเห็นจะมีน้อย เพราะอยู่ในราชสมบัติน้อยตั้งไม่ทันเต็มที่ แผ่นดินขุนหลวงบรมโกษฐ ชาววังหลวงเห็นจะตายเกือบหมด แต่สมุหนายกยังถอดลงเป็นพระยาราชนายก ซึ่งนับว่าเปนคนออกหน้าค่าชื่ออยู่คนเดียว เพราะฉนั้น ขุนนางตามในจดหมายตำรานี้จึงได้ร่องแร่ง เพราะแรกเสวยราชย์หาคนตั้งไม่ทัน ฤาตั้งผู้ใดขึ้นก็ไม่รู้ตำราเก่าเลยทั้งสิ้น…”

 

แต่ที่จริงแล้ว พรหมลิขิต ในฉบับนิยาย การะเกดก็ได้บอกเหตุผลถึงการย้ายไปอาศัยยังเมืองเพชรบุรีเอาไว้ชัดเจน ดังความว่า “…เรากำลังหาที่ยกครัวย้ายที่อยู่อาศัยใหม่ อีกไม่นานคงต้องให้คุณพี่และพ่อริดลาออกจากราชการจะได้พ้นเหตุการณ์อันตราย ที่อาจจะเกิดขึ้นตอนสงครามกลางเมืองปลายยุคพระเจ้าท้ายสระ และคงต้องเตรียมตัวให้ลูกหลานพร้อมรับเหตุการณ์เสียกรุงครั้งที่สอง…”

 

การะเกด คงทราบดีว่า ต่อให้อาศัยอยู่ในอยุธยาต่อไป และเลือกเข้ากับฝ่าย “วังหน้า” ซึ่งเป็นฝ่ายชนะตามประวัติศาสตร์ แต่นั่นก็ไม่อาจจะรับประกันว่า พ่อริดจะรอดจากการทำสงครามกลางเมือง การะเกดจึงตัดสินใจย้ายออกไปจากกรุงศรีอยุธยาให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย

 

แต่ในส่วนสงครามการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ซึ่งเกิดขึ้นให้หลังอีกหลายสิบปี การะเกดคงไม่อาจอยู่ถึงวันนั้น แต่เธอก็คงจะเตรียมการให้ลูกหลานรับมือกับสงครามที่จะมาถึง

 

การะเกดกล่าวว่า “…เราคิดว่าจะวางแผนให้ลูกหลานเผื่อว่าจะมีใครอยากเป็นทหารกอบกู้บ้านเมือง อย่างน้อยก็จะได้เลือกถูกฝ่าย…”

 

คงต้องฝากเป็นคำถามไปถึงการะเกดว่า ทำไมไม่บอกให้ลูกหลานเลือกฝ่าย “มอญ” เพราะถ้าลูกหลานดันไปเป็นทหารกอบกู้บ้านเมืองฝ่าย “เจ๊ก” มีหวังคงถูกประหารฟันคอริบเรือนตามผู้เป็นนายเหนือหัวไปแน่ๆ

แท็ก : เมืองพริบพรีพรหมลิขิต, เมืองพริบพรี, พรหมลิขิต, พริบพรีพรหมลิขิต, การะเกด

 

ที่มา : นิตยสารศิลปวัฒนธรรม

21 ธันวาคม 2566

ผู้ชม 13331 ครั้ง

Engine by shopup.com