เชื่อไหม ? แม้อยู่ในคุก “เปรี้ยว มือฆ่าหั่นศพ” ยังแต่งหน้า ทาเล็บ เสริมสวย ไร้สำนึก
เชื่อไหม ? แม้อยู่ในคุก “เปรี้ยว มือฆ่าหั่นศพ” ยังแต่งหน้า ทาเล็บ เสริมสวย ไร้สำนึก
คดีสะเทือนขวัญ ฆ่าหั่นศพ “แอ๋ม”หรือ“น.ส.วาริสรา กลิ่นจุ้ย”เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2560 หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ บ.โนนสง่า ม.9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น พบศพสาวถูกฆ่าหั่นแยกออกเป็น 2 ท่อน
จากนั้นมือฆ่าได้นำศพฝังดิน ต่อมาศาลจังหวัดขอนแก่นได้อนุม้ติออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังว่อนเร้นทำลายศพ ผู้ถูกกล่าวหาเป็นชาย 1 คน หญิง 3 คน คือ นายวศิน, เปรี้ยว ปรียานุช, เอิร์นกวิตา, แจ้ อภิวันทน์
เมดฮับนิวส์ดอทคอม เว็บไซต์สุขภาพ สาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ วาไรตี้ และ เพจ sasook รายงานว่า ทางรายการโหน กระแส วันที่ 13 เม.ย ทางช่อง 28 ได้สัมภาษณ์คุณพ่อคุณแม่น้องแอ๋ม“คุณพิชชาภา กลิ่นจุ้ย” และ “คุณสุชาติ คำเพิงใจ” คุณพ่อ หลังจากที่เปรี้ยวกลับคำให้การไม่เจตนาฆ่า พร้อม “ทนายสงกานต์ อัจฉริะทรัพย์” มาร่วมพูดคุยกันในรายการอีกครั้ง
พิธีกร : เรื่องน้องแอ๋ม ทางรายการโหนกระแสเชิญมาเทปแรกที่มีการออกอากาศ คุณพ่อคุณแม่ก็มา และออกมาพูดเปิดใจครั้งแรกในรายการเรา? แม่ : “ใช่ค่ะไม่เคยไปรายการอื่นเลย”
จากวันนั้นจนวันนี้ กำลังจะ 1 ปีแล้วเป็นยังไงบ้าง?
แม่ : “เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ 1 ปีมันเร็วจัง เรายังเสียใจ ยังนึกภาพ นึกถึงเหตุการณ์ก็ยังทำใจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ดีขึ้น แต่พอไปฟังเรื่องราวการพิจารณาคดี ก็ได้รู้ความจริงหลายๆ อย่าง ที่เราคิดว่าเป็นแค่นี้ แต่เรารู้เยอะ มันขยายความไปละเอียดมาก ความทรมานของลูกก่อนจะเสียมันเยอะ เขาไม่ได้ทำให้ตายทีเดียว ไม่ได้ฆ่าปุ๊บตายปั๊บ เขาทรมานอยู่หลายชม. มันสะเทือนหนักสำหรับเรา”
เหมือนจะลงเอย แต่สุดท้ายเปรี้ยวได้ออกมาบอกว่าฆ่าจริงแต่ไม่ได้เจตนา มันจะทำให้โทษบรรเทาลงมั้ย?
ทนายสงกานต์ : “โทษลดลงการเจตนาฆ่าในทางอาญา ถ้าโทษความผิดฐานฆ่าผู้อื่น โทษสูงสุดคือประหารชีวิต รองลงมาคือจำคุกตลอดชีวิต หรือต่ำสุด 15 ปี 20 ปี เมื่อไม่เจตนาศาลก็จะพิเคราะห์ตามพฤติการณ์ของคดี ตัวจำเลยที่เกี่ยวข้อง ใครเป็นผู้ลงมือกระทำ และใครเป็นผู้สนับสนุน ผู้ใดเป็นผู้ช่วยเหลือในการสนับสนุน”
ให้พ่อแม่ช่วยย้อนไปเหตุการณ์วันนั้น
พ่อ : “ทั้งสี่คนไปเจอแอ๋มโดยบังเอิญเขาไปเที่ยวตะวันแดงเขาเป็นเพื่อนกันมาก่อน แต่เปรี้ยวโกรธแค้นแอ๋ม เรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติดที่ผ่านมา ที่แฟนเปรี้ยวโดนจับ เขาคิดว่าแอ๋มเป็นคนให้ข้อมูลตำรวจในการไปจับเขา เขาคิดว่าตัวเขามีหมายจับ พอรู้ว่าตัวเองไม่มีหมายจับ ก็เป็นความเข้าใจผิดของเขาเอง ก็ผูกใจเจ็บแอ๋มมา”
วันที่ไป มี แจ้ เอิร์นา วศิน ขับรถ มีเปรี้ยว คนไปล่อแอ๋มให้มาที่รถคือเอิร์น?
พ่อ : “ใช่ครับ พอแอ๋มขึ้นรถปุ๊บเปรี้ยวก็โดดล็อกคอแอ๋มเลย สองคนที่เหลือก็ช่วยจับแขนจับขา แล้วก็ตี วศินก็ขับรถรอบเมือง วิ่งไปไหนไม่รู้ วิ่งไปเรื่อย”
ตอนนั้นแอ๋มไม่เสียชีวิต ? พ่อ : “ไม่เสียชีวิต พวกนี้ตีจนไปถึงจ.มหาสารคาม ก็ฟังจากพวกเปรี้ยว มีหลายคนพูดให้ฟัง เอามาปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นเรื่องเป็นราว ตีจนสลบแล้วขับรถวกมาที่ขอนแก่น แอ๋มก็โมโห ก็มีปากสียงกันทำนองว่าถ้าทำกูถึงขนาดนี้ ทำไม่ทำให้กูตายเลย ถ้ากูไม่ตายพวกมึงตายเขาก็เลยขึ้น ทีนี่ตบตีแล้วเอาถุงดำผูกคอจนทำให้ขาดอากาศหายใจ”
ใครเป็นคนทำ? พ่อ : “เปรี้ยวครับ เขาตั้งใจจะบีบให้ตายอยู่แล้ว แต่เขาบอกว่าเขาไม่ได้เจตนา หลังจากนั้นเขาก็วางแผน ช่วงนั้นเป็นช่วงยังไม่สว่างพวกร้านอุปปกรณ์ยังไม่เปิด พอรอร้านเปิดเขาก็ไปซื้อพวกเลื่อยพวกมีด ตอนแรกพาไปเขาสวนกวางแต่ไปไม่ถึงเขาสวนกวางเพราะมีด่านตรวจ เขาเลยขับเข้าป่า เปรี้ยวชำนาญเส้นทางบ้านเขาอยู่แถวนั้น เขารู้ว่าทางลัดอยู่ไหน แล้วก็โยนพวกมีดพวกเลื่อยทิ้ง แล้วไปถึงที่จุดเกิดเหตุใช้เสียมพวกนี้ขุด”
หั่นที่ไหน? พ่อ: “ที่โรงแรม ที่เป็นรีสอร์ต คนหั่นก็ไม่เชื่อว่าหั่นแค่ 3 ผมเชื่อว่าหั่นหมด”
คิดว่าวศินหั่นด้วย? พ่อ : “ใช่ เป็นไปไม่ได้ เพราะลูกสาวผมตัวใหญ่ ต้องมีผู้ชายยก”
ตอนนั้นเขาใส่ถัง? พ่อ : “เขาใส่ถังแล้วพอไปเจอด่านก็หลบเข้าป่า”
ทางวศินบอกว่าดูต้นทาง พ่อไม่เชื่อ? พ่อ : “ไม่เชื่อ แอ๋มเป็นคนตัวใหญ่ แล้วผู้หญิงจะยกยังไง มันลำบาก ยกตั้งแต่ลงรถ เข้าห้องน้ำ ผู้หญิงยกไม่ขึ้นหรอก ตัวใหญ่กว่าเยอะ”
หลังจากนั้นเขานำศพที่หั่นแล้วขึ้นรถไปไหนต่อ? พ่อ : “ที่เขาสวนกวางแต่ไปไม่ถึง เพราะเจอด่าน เปรี้ยวเป็นคนแถวนั้น รู้เส้นทางหนีทีไล่หมด ก็วิ่งทางลูกรัง แล้วโยนมีดหั่นศพทิ้งออกไป หลังจากนั้นก็ไปถึงจุดที่ซ่อนเร้นศพ พอดีขุดไม่ลึก มันเลยเหลือโผล่ขึ้นมาเป็นขา”
คุณพ่อติดใจและไม่สบายใจเรื่องอีกคนหนึ่งที่ชื่อ บ. คือยังไง? พ่อ : “ผมคิดว่าเขาน่าจะรับรู้ด้วยกันหมดแต่กลับโดนข้อหาเดียวคือรับของโจร เอาโทรศัพท์ไปขายแยกชิ้นส่วน”
แต่เขาไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ เขาอยู่กรุงเทพฯ แล้วไปรับโทรศัพท์กันที่ไหน? พ่อ : “สี่คนนี้หลังก่อเหตุก็นั่งรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ ไปหาคนนี้แหละ”
ต่อให้ไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ก็น่าจะรู้เรื่องด้วยเหมือนกัน? พ่อ : “ใช่”
แต่กลับโดนแค่รับของโจร พี่สงกานต์มองว่ายังไง? ทนายสงกานต์ : “ต้องดูว่าในคำฟ้องของพนักงานอัยการเป็นอย่างไร คดีแรกที่มีการฟ้องตัว บ.ดูว่าคำบรรยายฟ้องว่ากระทำความผิดที่รับของโจร วันและเวลา เดือน พ.ศ. อะไร ส่วนที่สองต้องมาดูวันเวลาที่กระทำความผิดของตัวเปรี้ยวกับพวกว่าวันเวลาใด ดังนั้นเมื่อเราเห็นว่าหนึ่งที่มีการดำเนินคดีเฉพาะในความผิดฐานรับของโจร คนละวันเวลาใด ถ้าวันเวลาไม่ตรงกัน พ่อกับแม่น้องก็มีสิทธิ์ดำเนินคดีได้อยู่ ยังไม่ตัดสินนะครับ เพราะเป็นการกระทำคนละช่วงเวลากัน ต่างกรรมต่างวาระ”
พ่อเขาสงสัยว่าการที่กลุ่มสี่คนนี้ แจ้ เอิร์น วศิน เปรี้ยว เป็นผู้กระทำมากรุงเทพฯ น่าจะมีเล่าเรื่องทั้งหมดให้ บ. ฟัง เหมือนบ.ก็ต้องรู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็ปกปิด แบบนี้มีสิทธิ์โดนอะไรมั้ย?
ทนายสงกานต์ : “คือพ่อแม่เขาสงสัยว่ามีการสบคบรู้เห็นในการกระทำความผิดหรือไม่ เป็นการสนับสนุนหรือไม่ เลยบอกพ่อแม่ว่าเดี๋ยวรอดูคำพิพากษา ดูคำเบิกความ ดูคำฟ้องที่ฟ้องตัวเปรี้ยวกับพวก ดูคำฟ้องรับของโจรแล้วมานั่งไล่ดู
รู้สึกว่าพ่อแม่น้องก็มีทนายเข้าไปร่วมอยู่แล้วในคดีนี้ บอกรายละเอียดเทคนิคไปแล้วแล้วก็คำฟ้องของพนักงานอัยการ หารือพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนดู เพราะที่ผ่านมาพ่อก็ยังงงอยู่ ว่าที่ผ่านมาทำไมแยกรับของโจร และฟ้องเปรี้ยวกับพวกฐานหนึ่ง ร่วมกันฆ่าผู้อื่นและอำพรางศพ ดังนั้นถ้าเป็นต่างกรรมต่างวาระ คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้สิทธิ์แบบนี้ได้”
สมมุติผมเองได้กระทำความผิดมาซักอย่าง ทำอะไรที่รุนแรงมาก อยู่ดี ๆ มาเล่าให้เพื่อนฟัง เขาก็รับรู้หมด เพื่อนคนนี้ไม่ยอมไปแจ้งความ ช่วยผมปกปิดทำความผิด ตามกฎหมายเขาผิดมั้ย?
ทนายสงกานต์ : “หนึ่งถ้ามีส่วนในการซ่อนเร้นอำพราง เช่นเอาหลักฐานที่ใช้ทำความผิดไปทำลายทิ้งแบบนี้ถือว่ามีความผิด”
จะโดนแค่รับของโจรหรือมีส่วนรู้เห็นตรงนี้ด้วย? ทนายสงกานต์ : “ทางกฎหมายคือรับของโจร โดนไปแล้วหนึ่ง แต่ต้องดูว่าที่เปรี้ยวกับพวกไปสถานที่ต่างๆ คนชื่อ บ. ได้ไปตามสถานที่ต่างๆ ด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาแค่รับรู้อย่างเดียว”
เขาบอกมั้ยว่าคนกลุ่มนี้เล่าอะไรให้ขาฟัง? พ่อ : “เขาไม่ได้บอก”
ทนายสงกานต์ : “รับขอโจร จำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสน ถ้ารับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน แล้วก็ปรับโดยดุลยพินิจของศาล”
ทำไมอยู่ดีๆ เปรี้ยวถึงได้ออกมาพูดว่าไม่เจตนาฆ่า? พ่อ : “เขาพูดลักษณะแบบนี้ เขาคิดว่าถ้าเขาพูดสำเร็จเขาจะเบาจากโทษที่เขาได้รับ เขาบอกว่าเขาฆ่าแต่ไม่เจตนาฆ่า ไม่คิดว่าจะตาย คือพูดง่ายๆ ฆ่าโดยไม่เจตนา”
แม่คิดว่าเขาเจตนามั้ย? แม่ : “แม่เชื่อเกินร้อยแหละ เขาตั้งใจมาฆ่า เพราะเหมือนที่เขาโพสต์มาว่าเขาแค้นฝังหุ่น อยู่ดีๆ ก็โพสต์ตุ๊กตาผี เพื่อจะกลับมาวางแผนและมาฆ่าลูกเรา เพราะเขาคิดว่าแอ๋มทำให้ชีวิตเขาพัง เจตนาฆ่าแล้ววางแผน มีการโทรเรียกเพื่อนในกลุ่มเขา ว่าไปจับหนูตัวใหญ่กับกูมั้ย มีคำพูดในโพสต์กับเพื่อนเขา ตั้งใจจะบดให้ละเอียดด้วยซ้ำ”
เอาศพไปบดให้ละเอียด? แม่ : “ใช่ แต่เวลามันน้อย สว่างซะก่อน เลยเอาไปหั่น แบบนี้จะไม่เจตนาได้ไง ตั้งใจเต็มๆ ทำยังไงเราก็ไม่เชื่อ”
ทนายสงกานต์ : “ตองดูว่าตำรวจตั้งข้อหาตามมาตรา288 หรือเปล่า ถ้า 288 มีโทษสามสถาน คือหนึ่งประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือตั้งแต่ 15-20 ปี แต่ถ้าเกิดตาม 289 ก็น่าจะเข้า 289 เพราะเป็นการฆ่าโดยวิธีการโหดร้าย ที่ตัวพ่อแม่เล่าให้ฟัง มีการหั่นน้อง มีการล็อก มีการอะไรต่างๆ ต้องดูในคำฟ้องว่าท่านอัยการฟ้องในความคิด 288 หรือ289 แต่ถ้าเกิดโทษประหารชีวิต ถ้าตัวจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โอกาสลดโทษน้อย แต่เชื่อเหลือเกินว่าก่อนศาลอ่านคำพิพากษา มิ.ย. เขาพร้อมถอนคำให้การ เพื่อรับสารภาพ เพื่อลดโทษ เขามีสิทธิ์ตามกฎหมาย”
พ่อ : “เขามีเวลาที่จะทำได้” ทนายสงกานต์ : “ก่อนคำพิพากษา”
เขาจะกลับคำให้การยังไง? ทนายสงกานต์ : “ก็คือหนึ่งจากาการที่สู้โดยปฏิเสธ เป็นรับสารภาพ เพื่อลดโทษกึ่งหนึ่ง ถ้าเห็นไปไม่รอด”
ณ วันนี้ แน่นอนหลักฐานทุกอย่างพยานคำให้การชี้ไปว่าเขาเป็นผู้กระทำ ถ้าเขาดื้อสู้ต่อว่าไม่เจตนา ถ้าศาลลงว่าไม่เป็นอย่างที่คุณพูดมันหนัก มีอีกทางของเขาคือกลับลำใหม่ บอกว่าเขาเจตนา ก็ลดโทษกึ่งหนึ่ง?
ทนายสงกานต์ : “ก็น่าจะไปไล่ดูเรื่องของคำเบิกความก่อน เพราะที่ผ่านมา พยานแต่ละฝ่ายเบิกความอย่างไร เขามีเวลาคิดก่อนศาลอ่านคำพิพากษา หลายคดีที่ผ่านมา จำเลยถอนคำให้การเดิม จากปฏิเสธก็มาเป็นรับสารภาพตามคำฟ้องของโจทก์ เพื่อลดโทษกึ่งหนึ่ง”
ฟังแล้วรู้สึกยังไง? พ่อ : “รู้สึกว่าทำผิดขนาดนี้แต่มีโอกาสมาตลอดเลย”
แม่ เขาคิดว่เขาคงไม่ตายเพราะถึงจะถูกตัดสินประหารแต่เขายังมีสิทธิ์อุทธรณ์ ลูกเราก็ต้องตายฟรี”
ได้เจอเขา? แม่ : “เจอทุกวันตอนขึ้นศาล เขายังมีการทาเล็บขึ้นศาล ยังห่วงสวย”
ทนายสงกานต์ : “ต้องเรียนพ่อกับแม่ว่าในทางกฎหมาย ต้องต่อสู้กันตั้งแต่ชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา เขาก็ยังมีโอกาส ถ้าเราเป็นนักกฎหมายและเห็นว่าเขาไปไม่รอด ผมเชื่อเหลือเกินว่าก่อนอ่านคำพิพากษา เขายังมีโอกาส”
มีทางเอาให้เขาอยู่หมัด?
ทนายสงกานต์ : “เชื่อว่าคดีนี้พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนและตัวคุณพ่อคุณแม่ตั้งทนายเข้าไปเป็นโจทก์ร่วม เชื่อว่าอัยการเขามีความรอบคอบ เก่ง และทนายโจทก์ร่วมเข้าไปดูในประเด็นต่างๆ ที่จำเลยได้สู้มา และสืบให้ศาลเห็นว่าตัวจำเลยทั้งหมด มีการวางแผน มีการเตรียมการไว้ก่อนอย่างไร จากการที่ได้คุยกับคุณพ่อคุณแม่เมื่อสักครู่”
พ่อแม่ไปเจอเปรี้ยวกับพวกสามคนทุกครั้งตอนขึ้นศาล เขามาขอโทษอะไรมั้ย? แม่ : “ครั้งเดียวครั้งแรกที่ขึ้นไป”
พ่อ : “มาขอโทษเป็นทนายกับผู้พิพากษาแนะนำ เหมือนให้มาขอขมา” แม่ : “จะทำแค่ต่อหน้าสื่อ สร้างภาพให้ทางศาลเห็น ทุกครั้งที่เขาขึ้นศาลก็ยังเห็นเขาสนุก ยังหัวเราะ ยังร่าเริง มองหน้าเราแล้วก็เฉยๆ เคยขอโทษแค่ครั้งแรกที่เจอกัน เป็นทางฝ่ายทนายความให้ทำ จนศาลถามว่ายอมรับการขอขมาของเขามั้ยเราก็บอกว่าถ้าทำด้วยเจตนาตั้งใจของเขาจริงๆ เราก็จะรับ เขาก็เลยมาทุกคน ก็กราบเท้าแล้วก็ร้องไห้ แย่งกันพูด แย่งกันขอโทษ เปรี้ยวยืนอยู่ขางหน้า คุกเข่ามองหน้าจองหน้าแล้วร้องไห้ จับมือเราแล้วบอกว่าถ้ามีโอกาสรอดออกไปเขาจะทำหน้าที่แทนแอ๋มเอง แม่บอกว่าแม่มีลูกคนเดียว ต่างคนต่างร้อง เราก็กลั้นไม่อยู่ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆ ก็ถามเขาแค่นั้น เขาบอกว่าเขาไม่ได้คิดว่าน้องจะเสีย”
เขาบอกพ่อยังไง? พ่อ : “ก็อยู่ด้วยกัน เขาก็พูดเหมือนกัน แต่พอขอขมาเสร็จเขาก็หัวเราะ”
แม่ : “จากที่เศร้าต่อหน้าเรา” พ่อ : “เหมือนเล่นละคร”
อยู่ต่อหน้าพ่อคุกเข่าร้องไห้ จับมือถ้ารอดจะทำหน้าที่แทนแอ๋ม เสร็จออกไปนั่งข้างๆ หัวเราะ?
พ่อ : “เขาก็หยอกกัน หัวเราะกันปกติ เหมือนตอนขึ้นศาล เขาไม่จริงใจ ทำไปก็เพราะทนายบอก ดูสายตาก็รู้ว่าไม่จริงจัง”
เรื่องทาเล็บ? แม่ : “ทาทุกครั้งล่าสุดที่เขาแอบเซลฟี่ ที่มีแชตหลุดก็เห็นเล็บทาทุกสี เขาคงมีสิทธิ์ทำแบบนี้ แต่เราเห็นคือภาพเขาก็ยังดูดีอยู่”
มีเรื่องอีกเรื่องที่พ่อแม่รู้สึกตกใจมาก วันไปขึ้นศาล ไฟดับหมดเลย? แม่ : “พ่อไปเจอพ่อกับแม่วศิน ซึ่งไม่เคยได้คุยกันเลย”
พ่อ : “เขาก็ถามสารทุกข์สุขดิบ พ่อแม่เขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็คุยกันว่าสาเหตุเป็นอย่างนี้ๆ พ่อกับแม่เขาแยกทางกัน วศินมาอยู่กับพ่อ เช่าหอพักอยู่ ไม่มีเวลาอบรมดูแลลูก คบแต่เพื่อน แล้วก็ขอโทษพวกผม คุยกันรู้เรื่อง พอเขามาถามเรื่องแอ๋ม ผมบอกว่าผมไม่อยากพูด เพราะปกติถ้าน้องมา จะมีไฟกับฝน พอผมพูดไม่ถึง 5 นาที ไฟดับเลย ผมเลยเดินไปบอกว่าไม่มีอะไรลูก พ่อไม่คุยเรื่องหนูแล้ว พอเดินกลับมาไฟก็มาปกติ เขาเห็นกัน 7-8 คน”
ทำไมถึงคิดว่าถ้าแอ๋มมาไฟต้องดับ? พ่อ : “ไฟดับเลย เขาก็เห็นกันหมดทุกคน เขาก็กลัวและเชื่อกัน เพราะเห็นจริงๆ เขาไม่เคยเจอ”
ครั้งแรกที่ออนแอร์ คุณพ่อคุณแม่ได้ออกรายการ ได้นำเอาอัฐิน้องแอ๋มมมาวางไว้กลางรายการ วันนั้นไฟดับ ซึ่งไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อน พ่อก็มั่นใจว่าแอ๋มมา?
แม่ : “ในห้องพิจารณาคดีก็ดับ” พ่อ : “กำลังเบิกความ ช่างขึ้นไปดูไฟว่าไม่มีอะไรขาดไม่มีอะไรเสีย”
คิดว่าลูกอยู่ข้างๆ ตลอด? พ่อ : “อยู่ครับ เพราะผมไปจุดธูปขอศาลพระพรหมที่อยู่ข้างศาล ขออนุญาตให้ลูกขึ้นมาฟังด้วยได้มั้ย จุดธูปบอก”
อีกเรื่อง คือเรื่องของทางเปรี้ยว ที่เขาไปกระทำการไม่ควรบนศาล ถ่ายเซลฟี่ ผิดมั้ย?
ทนายสงกานต์ : “ผิดสิครับในเรื่องละเมิดต่อหน้าศาล ทราบว่าศาลได้พิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี และปรับ 500 บาท”
ใครถ่าย? แม่ : “เป็นโทรศัพท์เบนซ์ เพื่อนเขาที่โดนข้อหารับของโจร เขาจะมาทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี เพราะเขาอยู่ในช่วงประกันตัวออกไป พอมาก็ไปนั่งรวมกันแล้วถ่ายช้อนขึ้นมา แล้วส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่อยู่ข้างนอก”
ทนายสงกานต์ : “ถ้าในทางกฎหมายถือว่าประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล มีโทษทางอาญา ศาลให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เวลาเข้าไปในศาล จะไปถ่ายเซลฟี่แล้วทำมือแบบฮาร์ดบีท แล้วส่งต่อๆ กัน ไม่ได้ครับเรื่องวันนี้ประโยชน์เต็มที่ตัวน้องผู้ตายได้บอกกับตัวเปรี้ยวว่าถ้ามึงฆ่ากุไม่ตาย กูกลับไปฆ่ามึง นี่เป็นเหตุที่เขาอ้าง”
แม่ : “โมโหที่ลูกเราไปท้าทาย” ทนายสงกานต์ : “ประโยคหนึ่งที่คุณผู้ชมสามารถนำไปเป็นอุทาหรณ์ได้ ถ้าเราเกิดวิกฤต แล้วใครทำร้ายเรา คุณอย่าไปพูดนะว่าถ้ากูรอด กูจะไปฆ่ามึง” แม่ : “ต้องเอาชีวิตตัวเองไว้ก่อน” ทนายสงกานต์ : “มันจะทำให้คนร้ายที่จะฆ่าเราจะเอาเราให้ตาย อย่าไปพูดเด็ดขาด”
ถ้าทางเปรี้ยวเอาคำนี้มาสู้ในชั้นศาลว่าเขาขู่ ก็เลยต้องฆ่า? ทนายสงกานต์: “ก็นี่ไงพี่หนุ่ม เปรี้ยวเขาก็เอาไปเบิกในชั้นศาล”
แม่ : “เขาก็เอาไปเป็นหลักฐานทุกอย่างที่เขาจะอ้างได้ เขาอ้างหมด” ทนายสงกานต์ : “แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่าในคดีนี้ศาลท่านมองเห็น ว่าถ้าเป็นเพื่อน เพื่อนทำไมไม่ห้าม ปรากฏว่าไปๆ มาๆ เราเชื่อว่าเป็นตัวการร่วม เดี๋ยวรอดูว่าผลจะเป็นเช่นไร และฟ้องในความผิดฐานใดบ้าง”
ครอบครัวเปรี้ยวหรือครอบครัวคนอื่นๆ เจอมั้ย? แม่ : “เจอทุกคนค่ะ เขาก็เข้ามาคุยกับคุณพ่อก่อน คุยกันหลายครั้งว่าอยากไปร่วมทำบุญร้อยวันแต่ไม่กล้าไป เพราะกลัวทางเราโกรธอยู่ แต่พอมีโอกาสเจอที่ศาล พอเดินผ่าน เขาเห็นเรายิ้มให้เลยกล้าเข้าไป คุยกัน รู้สึกเขาขอโทษเราทุกคนนั่นแหละ”
ญาติพี่น้องจำเลยเขาเข้าใจเราดี แต่ตัวจำเลยต่อหน้าดี แต่ถัดไปหัวเราะ? แม่ : “ก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่ง ต่อหน้าเราจะทำให้เราสงสารหรือเปล่า จิตใจเราจะให้อภัยก็ให้อภัยไม่ได้”
ทนายสงกานต์ : “ไม่ได้มีความจริงใจ ไม่ได้สำนึกในผลของการกระทำ” แม่ : “จนป่านนี้ยังเฉยอยู่ คิดว่าตัวเองทำถูก”
แม่อยากบอกอะไรในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา?
แม่ : “แม่อยากให้เป็นคดีเอาเป็นตัวอย่างก็ได้ ที่ทำให้คนอื่นๆที่คิดจะเป็นลักษณะแบบเปรี้ยว เลิก อย่าเอาคนแบบนี้มาเป็นตัวอย่าง เป็นเน็ตไอดอลเอฟซี คิดถึงอนาคตตัวเองมันก็จบอยู่ตรงความคึกคะนองชั่ววูบของวัยรุ่น วัยรุ่นต้องตั้งสติ คนที่ลำบากคือพ่อแม่ครอบครัว พ่อแม่เขาก็น่าสงสารทุกคน
เขาก็รักลูกทุกคนเขาก็เสียใจไม่ต่างจากเรา อยากให้คดีแอ๋มเปรี้ยว อยากให้วัยรุ่นที่คึกคะนอง พยายามยับยั้งอารมณ์ตัวเอง อย่าเอาสิ่งมัวเมา เอาความคิดกล้าทำคนอื่นแค่อารมณ์ชั่ววูบ มันจะเสียอนาคตได้”
พ่อ : “ก็วิงวอนนะครับ วัยรุ่นทั้งหลาย อย่าเอาเปรี้ยวเป็นแบบอย่างเด็ดขาด ไม่มีเรื่องดีสักอย่าง คิดไว้เลยว่าจุดจบเขาเป็นแบบไหน เอฟซีอะไรต่างๆ ที่ลงในโซเชียล อย่าไปชื่นชม อย่าไปให้การสนับสนุน ทุกอย่างมันคือบทเรียนนะครับ”
เว็บไซต์ข่าวสุขภาพ
Thailand Health and Wellness News
03 มกราคม 2562
ผู้ชม 2171 ครั้ง