"โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ" น่ากลัวกว่าที่คิด ผู้สูงอายุควรใส่ใจดูแลสุขภาพ หากพบอาการน่าสงสัยพบแพทย์ด่วน
"โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ" น่ากลัวกว่าที่คิด ผู้สูงอายุควรใส่ใจดูแลสุขภาพ หากพบอาการน่าสงสัยพบแพทย์ด่วน
News Update วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 62 : - เว็บไซต์เมดฮับนิวส์ดอทคอม ( MEDHUBNEWS.COM ) และ เพจ sasook รายงานว่า นายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ระบุถึง "โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ" ว่า
เป็นปัญหาสำคัญที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ สาเหตุมาจากอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความเป็นกรดในปัสสาวะและภูมิคุ้มกันลดลง รวมถึงมีแหล่งสะสมเชื้อโรคเพิ่มในร่างกาย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอาการปัสสาวะเล็ด
นายแพทย์ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ เมื่อระบบทางเดินปัสสาวะติดเชื้อแบคทีเรียจึงทำให้เกิดการอักเสบ แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ติดเชื้อส่วนบนของระบบทางเดินปัสสาวะจะมีผลต่อไตและท่อไต 2. ติดเชื้อส่วนล่างของระบบทางเดินปัสสาวะจะมีผลต่อกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ
โดยมีอาการปัสสาวะแสบขัด ขุ่น ปัสสาวะบ่อยขึ้น แต่ถ้าติดเชื้อที่กรวยไตจะมีไข้ ปวดหลังร่วมด้วย ส่วนสาเหตุเกิดจากภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุลดลง เช่น ผู้ชายจะติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากสารคัดหลั่งจากต่อมลูกหมากมีคุณสมบัติฆ่าเชื้อลดลง
ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้วจะขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีเชื้อแลคโตบาซิลลัสบริเวณช่องคลอดน้อย ทำให้ค่าความเป็นกรดด่างในช่องคลอดสูงขึ้น ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี
รวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องใส่สายสวนปัสสาวะเพื่อรักษาอาการปัสสาวะไม่ออก กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือใส่ในช่วงผ่าตัด อาจเสี่ยงทำให้เชื้อโรคเข้าไปในทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุมาจากโรคประจำตัว
เช่น โรคหลอดเลือดสมองทำให้ประสาทในการควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้ปัสสาวะค้าง เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และโรคอื่นๆ เช่น เก๊าท์ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น
นายแพทย์สกานต์ บุนนาค ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวรเพื่อผู้สูงอายุ
กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สูงอายุเมื่อมีอาการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา โดยแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ หรือยารักษาตามอาการ
เช่น ยาแก้ปวดชนิดคลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ และควรดื่มน้ำให้มาก อย่างน้อยวันละ 8 -10 แก้ว เพื่อขับเชื้อออกจากปัสสาวะ ซึ่งโดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นภายใน 5 - 7 วัน
ทั้งนี้ ผู้สูงอายุควรดูแลตัวเองไม่ให้ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ดังนี้ 1. ดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 2 - 3 ลิตร เพื่อทำให้ปัสสาวะเจือจางและล้างเชื้อโรคออกจากกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้แบคทีเรียลดลง
2. ดูแลสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาด 3. สวมเสื้อผ้า กางเกงที่โปร่งสบายเพื่อป้องกันการอับชื้น 4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ ชา น้ำอัดลม 5. ไม่กลั้นปัสสาวะนานๆ
นอกจากนี้ ผู้สูงอายุควรรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อป้องกันท้องผูกเพราะมีผลต่อการทำงานของลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ
อีกทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมรวมถึงให้ความสำคัญกับการดูแลสุขอนามัย ซึ่งจะช่วยป้องกันและลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
เมดฮับ นิวส์ medhubnews.com
เว็บไซต์ข่าวสุขภาพ สาธารณสุข การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ วาไรตี้ ฯลฯ
Thailand Health and Wellness News
ติดตามข่าวสารจาก medhubnews.com
17 มิถุนายน 2562
ผู้ชม 4422 ครั้ง