เตือนภัย ย้อนประวัติ เติมศักดิ์ จารุปราน คนสื่อตัวจริง แพทย์ชี้ โรคหลอดเลือดสมองแตก อันตราย ทุก6 วินาที มีผู้ตายจากโรคนี้
เตือนภัย ย้อนประวัติ เติมศักดิ์ จารุปราน คนสื่อตัวจริง แพทย์ชี้ โรคหลอดเลือดสมองแตก อันตราย ทุก6 วินาที มีผู้ตายจากโรคนี้
เติมศักดิ์ จารุปราน, เติมศักดิ์จารุปราณ, เว็บไซต์สุขภาพ ข่าวสาธารณสุข ท่องเที่ยว - ย้อนประวัติ เติมศักดิ์ จารุปราณ คนสื่อตัวจริง แพทย์ชี้ โรคหลอดเลือดสมอง ตีบ ตัน แตก อันตรายกว่าที่คิด ทุกๆ 6 วินาที มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้
News Update - ข่าวล่าสุดวันนี้ : หลังจากเติมศักดิ์ จารุปราณ ผู้ประกาศข่าวชื่อดังเสียชีวิต เหตุล้มป่วยด้วยอาการเส้นเลือดสมองแตก เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ตั้งแต่ 2 ก.ค.
นับจากวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา แพทย์ทำการรักษาจนอาการดีขึ้น โดยก่อนหน้าจะเสียชีวิตประมาณ 1 สัปดาห์ เติมศักดิ์อาการทรุดลง และจากไปในช่วงเช้าวันนี้
ทั้งนี้ ล่าสุด เว็บไซต์ medhubnews.com ข่าวสังคม สุขภาพ ท่องเที่ยว วาไรตี้ และ เพจ sasook ทวิตเตอร์ @medhub_news รายงานว่า เติมศักดิ์ จารุปราณ
ปัจจุบันเป็น ผู้ประกาศข่าวช่องนิวส์วัน ( NEWS1 ) ในเครือผู้จัดการ เสียชีวิตด้วย เส้นเลือดในสมองแตก ตีบตัน หรือโรคหลอดเลือดสมอง
เป็นภาวะที่สมองขาดเลือดและออกซิเจน เนื่องจากหลอดเลือดตีบ อุดตัน หรือแตก เลือดจึงไม่สามารถไหลเวียนไปยังสมองได้
เมื่อเซลล์สมองถูกทำลายจนเซลล์ตาย จึงไม่สามารถควบคุมอวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายให้ทำงานได้ตามปกติ
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข พบว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง เป็นอันดับ 1 หากไม่นับรวมโรคมะเร็งในหลายประเภทรวมกัน
โดยสถิติโลกได้ระบุว่า ทุกๆ 6 วินาที มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ ขณะที่ในประเทศไทยมีผู้ป่วยปีละประมาณ 250,000 คนต่อปี ทุก 10 วินาที มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพิ่ม 1 คน
ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ เยาวชนไทย อาจลืม และ ไม่ค่อยรู้จัก เติมศักดิ์จารุปราณคือใคร ? เติมศักดิ์คือใคร เติมศักดิ์จารุปราณประวัติ ? เติมศักดิ์จารุปราณเป็นอะไร ? เติมศักดิ์ จารุปราณ ล่าสุด ? เติมศักดิ์จารุปราณประวัติ ? เติม ศักดิ์ จารุ ปราณ หาย ไป ไหน ?
ไอทีวีในยุคเฟืองฟู่ หนึ่งในนั้น คือ เติมศักดิ์ จารุปราณ
ถ้าเป็นคอข่าวต้องไม่พลาด ไอทีวีในยุคเฟืองฟู่ หนึ่งในนั้น คือ เติมศักดิ์ จารุปราณ ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผัน เมื่อย้ายไปอยู่ ช่องเอเอสทีวี
ความขัดแย้งทางการเมือง มันยาวนานมากเหลือเกิน มากจนทำให้ชีวิตของคนข่าว เปลี่ยนแปลงไปหลายคน
แฟนข่าวไอทีวี ต้องจำชื่อนักข่าวคนโปรดของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็น วราภรณ์ สมพงษ์, ตวงพร อัศววิไล, เติมศักดิ์ จารุปราณ, ธีระ ธัญญอนันต์ผล, ธีรัตถ์ รัตนเสวี, ธนวรรณ มิลินทสูต, นารากร ติยายน, บุญญิตา งามศัพพศิลป์
ประวีณมัย บ่ายคล้อย, ปิยะฉัตร กรุณานนท์, ปิยณี เทียมอัมพร, มัลลิกา บุญมีตระกูล, สายสวรรค์ ขยันยิ่ง, วรวีร์ วูวนิช, อัญชลีพร กุสุมภ์ ฯลฯ
คนข่าวอย่าง เติมศักดิ์ จารุปราณ มักอ่านข่าวคู่กับ วราภรณ์ สมพงษ์ ที่กลายเป็นผู้ประกาศข่าวหลัก แทน นารากร ติยายน ที่ลาออกไป
ไอทีวี กับตึก SCB ในยุคนั้น แม้อาคารไม่สวยหรู แต่มีแฟนข่าวไอทีวีมากมาย ถือเป็นยุครุ่งโรจน์ จนกระทั่งมาถึงยุค กบฏนักข่าวไอทีวี
ประวัติ คุณ เติม ศักดิ์ จารุ ปราณ - เติม ศักดิ์ จารุ ปราณ ประวัติ
เติมศักดิ์จารุปราณประวัติ เติมศักดิ์ จารุปราณ เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2515 เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ เคยทำกิจกรรมวงโยธวาทิตเทพศิรินทร์ จบการศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปี 2536 ผ่านประสบการณ์จัดรายการวิทยุคลื่นข่าว 101 ซึ่งมีนายสมชาย แสวงการ เป็นผู้บริหารคลื่นในขณะนั้นมาอย่างยาวนาน และย้ายมาเป็นผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ในปี 2546
ต่อมาเครือผู้จัดการก่อตั้งโครงการโทรทัศน์ นายเติมศักดิ์ได้เข้ามาร่วมงานในยุคก่อตั้งสถานีโทรทัศน์ 11 นิวส์วัน ร่วมกับ สโรชา พรอุดมศักดิ์ จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ กมลพร วรกุล ฯลฯ
ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นฟรีทีวีผ่านดาวเทียมในชื่อ เอเอสทีวี (ASTV) แต่ก็ยังจัดรายการวิทยุ ข่าวยามเช้า ที่คลื่นข่าว 101 ร่วมกับ น.ส.อวัสดา ปกมนตรี แต่ได้ลาออกไปเมื่อปี 2551 แล้วมาทำงานที่เอเอสทีวีเป็นหลักถึงปัจจุบัน
นายเติมศักดิ์เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2563 ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก แพทย์ทำการรักษาจนอาการดีขึ้น
กระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อน นายเติมศักดิ์มีอาการทรุดลง ก่อนที่จะเสียชีวิตอย่างสงบในวันที่ 5 กันยายน 2563 หลังเข้ารับการรักษาตัวมาแล้ว 66 วัน
รวม เติมศักดิ์ จารุปราณ สิริอายุได้ 48 ปี
หลอดเลือดสมอง ตีบ ตัน แตก อันตรายกว่าที่คิด
ปัจจุบัน โรคหลอดเลือดสมอง ( Stoke ) เป็นโรคร้ายที่เกิดฉับพลัน จากการเสื่อมของเส้นเลือดนำไปสู่การตีบ ตัน และแตก
เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้สูงอายุเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ป่วยบางส่วนเกิดโรคนี้ก่อนวัยอันควร
โรคนี้เป็นภาวะที่เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ เพราะมีการอุดตันของหลอดเลือดที่จะนำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้
หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะทำให้เซลล์สมองค่อย ๆ ตายลง โรงพยาบาลที่สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงทีและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับผู้ป่วย
โรงพยาบาลนครธน เป็นหนึ่งในโรงพยาบาลที่สามารถดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองด้วยความเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านบุคลากรทางการแพทย์ และเครื่องมือที่ใช้ในการรักษา
โดยมี “ศูนย์สมองและระบบประสาท” เป็นศูนย์แพทย์เฉพาะทางที่รองรับผู้ป่วยโรคทางสมองได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ผศ.นพ. ชัย กอบกิจสุขสกุล แพทย์เฉพาะทางด้านรังสีวิทยาร่วมรักษาระบบประสาท โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่า
อาการที่บ่งบอกได้ว่าอาจเกิดจากโรคหลอดเลือดสมอง คือ อาการพูดไม่ชัดเฉียบพลัน อ่อนแรงที่แขนและขาหรือชา
โดยมักจะเป็นครึ่งซีก มองเห็นภาพซ้อนหรือมองไม่เห็น ปวดศีรษะ วิงเวียน บ้านหมุน และทรงตัวไม่ดีอย่างฉับพลัน
เมื่อพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการนี้ ควรรีบมาโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน เพราะอาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองได้
โรคหลอดเลือดสมองสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่
1 หลอดเลือดสมองตีบตันหรืออุดตัน เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมอง พบได้ประมาณ 70-85%
เกิดจากลิ่มเลือดจากบริเวณอื่นไหลไปตามกระแสเลือดแล้วไปอุดตันหลอดเลือดสมอง หรือลิ่มเลือดก่อตัวและขยายขึ้นจนไปอุดตันหลอดเลือดสมองได้
2 หลอดเลือดสมองแตก ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในเนื้อสมอง หรือเยื่อหุ้มสมอง พบประมาณ 15-30% ของโรคหลอดเลือดสมอง
เกิดจากหลอดเลือดมีความเปราะบางรวมกับความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดมีความโป่งพองและแตก ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วได้
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เชื้อชาติและพันธุกรรม โดยผู้ชายจะมีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้มากกว่าผู้หญิง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถป้องกันแก้ไขได้
ในขณะเดียวกันก็ยังมีความเสี่ยงที่สามารถป้องกันและระวังแก้ไขได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคอ้วนและโรคเลือด เป็นต้น
รวมถึงพฤติกรรมอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ การใช้ยาเสพติดหรือยากระตุ้นบางชนิด ภาวะเครียด และการขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
จากความเสี่ยงต่าง ๆ เหล่านี้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือบุคคลทั่วไป สามารถดูแลตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ลดอาหารที่มีรสจัดและมีคอเลสเตอรอลสูง และควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ที่สำคัญควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีปัญหาเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง
การรักษาโรคหลอดเลือดสมอง แพทย์จะทำการวินิจฉัยเบื้องต้น โดยสอบถามประวัติผู้ป่วยโดยละเอียดและตรวจร่างกาย โดยทำการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง (CT scan brain) หรือการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI brain)
จากนั้นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการรักษาอย่างถูกต้องตรงถามอาการของโรค ซึ่งวิธีการรักษามีหลายวิธีด้วยกัน ได้แก่ การให้ยาสลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ
การลากสวนลิ่มเลือดออกจากสมอง ซึ่งมักจะใช้รักษาอาการหลอดเลือดอุดตัน และ การผ่าตัด (Surgery) อาจเกิดขึ้นเมื่อมีอาการเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งการรักษาเหล่านี้ต้องรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น รวมถึงโรงพยาบาลต้องมีเครื่องมือทางการแพทย์ที่พร้อมรักษาโรคทางสมองโดยเฉพาะ
“โรงพยาบาลนครธนมีเครื่องมือและเทคโนโลยีที่สามารถรักษาโรคหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ซึ่งถ้าหากผู้ป่วยเข้ารับการรักษาหลังมีอาการเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่เกิน 4.5 ชั่วโมง ก็จะสามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดก่อนได้เป็นอันดับแรก จากนั้นแพทย์จะดูว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษาดีแค่ไหน
หากอาการไม่ดีขึ้นก็จะพิจารณาว่าจำเป็นต้องเปิดหลอดเลือดหรือลากเอาลิ่มเลือดออก ซึ่งปัจจุบันมักจะใช้เป็นการใส่ตะแกรงหลอดเลือดเข้าไป แล้วลากเอาลิ่มเลือดออกจากหลอดเลือดสมอง เพื่อเป็นการเปิดทางให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้
อีกกรณีหนึ่งหากผู้ป่วยมารักษาในระยะเวลาที่เกินจะให้ยาละลายลิ่มเลือด และตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เครื่องสร้างภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) และพบว่ามีหลอดเลือดสมองอุดตันขนาดใหญ่
และยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถให้การรักษาโดยการใส่สายสวนเพื่อไปเอาลิ่มเลือดออกได้ก็จะรักษาด้วยวิธีนี้ทันที เนื่องจากมีข้อดีคือมีประสิทธิภาพในการเปิดหลอดเลือดอุดตันได้เกิน 80 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งการให้ยาละลายลิ่มเลือดจะเปิดหลอดเลือดไม่ได้สูงเท่าการเอาลิ่มเลือดออกโดยตรง และการเปิดหลอดเลือดได้สำเร็จจะช่วยลดโอกาสในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตของผู้ป่วยได้” ผศ.นพ. ชัย กล่าว
พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสภาวะรอบตัวล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทุกคนมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะกับผู้สูงอายุ
ดังนั้น จึงควรสังเกตอาการของตนเอง รวมถึงคนรอบข้าง หากมีอาการดังกล่าว ควรเข้ารับการรักษาอย่างรวดเร็วก็จะยิ่งลดความเสี่ยงในการเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต และการเสียชีวิตได้
26 ตุลาคม 2564
ผู้ชม 9938 ครั้ง