กองวิศวกรรมการแพทย์ เฝ้าระวังการป้องกันการติดเชื้อ วัณโรค ใน ห้องเอกซเรย์ จุดพ่นยา ห้องทันตกรรม ห้องฉุกเฉิน
กองวิศวกรรมการแพทย์ เฝ้าระวังการป้องกันการติดเชื้อ วัณโรค ใน ห้องเอกซเรย์ จุดพ่นยา ห้องทันตกรรม ห้องฉุกเฉิน
News Update วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน 2562 : กรม สบส. เฝ้าระวังการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในสถานพยาบาล ห้องเอกซเรย์ จุดพ่นยา ห้องทันตกรรม และห้องฉุกเฉิน เสี่ยงสุด
เว็บไซต์ medhubnews.com ข่าวสังคม สุขภาพ สาธารณสุข ท่องเที่ยว วาไรตี้ และ เพจ sasook รายงานว่า นายแพทย์ประภาส จิตตาศิรินุวัตร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
กล่าวถึงกรณี องค์การอนามัยโลกกล่าวถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ และป่วยเป็นวัณโรคมากกว่าประชาชนทั่วไป
ได้แก่ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ผู้ต้องขัง แรงงานข้ามชาติ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายุ และบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข (Health care worker)
ซึ่งการเฝ้าระวังการป้องกันการติดเชื้อวัณโรคในสถานพยาบาลพบว่ายังมีอุบัติการณ์ที่บุคลากรดังกล่าว เกิดการติดเชื้อวัณโรค จากหลายสาเหตุ
อาจเกิดจากปัญหาด้านอาคารและสภาวะแวดล้อมในหน่วยงานต่าง ๆ ของโรงพยาบาล เช่น จุดคัดกรอง ห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน จุดพ่นยา
ห้องตรวจโรคผู้ป่วยแพร่เชื้อทางอากาศ งานผู้ป่วยนอก อาคารผู้ป่วยใน ห้องแยกโรคผู้ป่วยแพร่เชื้อทางอากาศ ที่มีการออกแบบหรือปรับปรุงยังไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน
ทำให้เกิดการติดเชื้อและป่วยเป็นวัณโรคของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกองวิศวกรรมการแพทย์
จึงได้จัดทำโครงการ “ส่งเสริมการจัดการระบบวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในสถานบริการสุขภาพภาครัฐ ประจำปี 2562”
เพื่อสำรวจและประเมินสิ่งแวดล้อมด้านคุณภาพอากาศในอาคารเพื่อลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (TB) ในสถานพยาบาลภาครัฐ
และนำข้อมูลการสำรวจและประเมินปัญหาด้านอาคารและสิ่งแวดล้อมในหน่วยงานต่างๆ สถานพยาบาลภาครัฐ มาวิเคราะห์ และเสนอแนะแนวทางแก้ไขให้กับโรงพยาบาล เพื่อความปลอดภัยของผู้มาใช้บริการ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
นายสมชาย อินทร์เนียม รักษาราชการแทนผู้อำนวยการกองวิศวกรรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยกองวิศวกรรมการแพทย์
ได้ดำเนินการสำรวจโรงพยาบาลตามเป้าหมาย จำนวน 24 แห่ง เพื่อประเมินคุณภาพอากาศในอาคารเพื่อลดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ (TB) ในสถานพยาบาลภาครัฐ
จากผลการดำเนินงานพบว่าระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่ควรดำเนินการแก้ไขปรับปรุงเป็นอันดับต้นๆ คือ ห้องเอกซเรย์ จุดพ่นยา ห้องทันตกรรม และห้องฉุกเฉิน
เนื่องจากยังไม่มีระบบปรับอากาศและระบายอากาศที่เหมาะสม จากสาเหตุหลัก ดังนี้
1 เป็นอาคารที่สร้างมานาน ไม่ได้มีการออกแบบระบบปรับอากาศและระบายอากาศมาพร้อมอาคาร 2 มีการปรับปรุงอาคารที่มีความหลากหลายตามงบประมาณและความจำกัดของพื้นที่แต่ละโรงพยาบาล
3 ขาดการตรวจสอบและการบำรุงรักษา ทำให้ประสิทธิภาพของระบบการปรับอากาศและระบายอากาศที่มีลดลง
4 จำนวนผู้ป่วยมากขึ้นพื้นที่เดิมไม่เพียงพอต่อการให้บริการ และมีการปรับปรุงอาคารโดยขาดที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมและการควบคุมการติดเชื้อ
ทำให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในอาคารได้ โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพจึงได้เสนอแนะให้โรงพยาบาลที่จะปรับปรุงระบบปรับอากาศและระบายอากาศ
ควรปรึกษาหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญในการออกแบบ ปรับปรุง และโรงพยาบาลควรจัดทำแผนการตรวจสอบประจำปี มีการตรวจสอบบำรุงรักษาระบบปรับอากาศและระบายอากาศในโรงพยาบาลอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
รวมทั้งมีการอบรมพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ และใส่ใจในการดูแลระบบปรับอากาศและระบายอากาศให้ได้มาตรฐาน
ทั้งนี้ โรงพยาบาลสามารถสอบถามรายละเอียดและปรึกษางานด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาลภาครัฐ ได้ที่กองวิศวกรรมการแพทย์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หมายเลขโทรศัพท์ 02 149 5680 ต่อ 1384 ในวัน และเวลาราชการ
- ติดตามอ่านข่าว Gossip Mebhubnews ได้ทาง อีบุ๊ค เมดฮับนิวส์
27 พฤศจิกายน 2562
ผู้ชม 3654 ครั้ง