ไฮสายควัน สายฉีด เสพยาไอซ์ แล้วมีอารมณ์ ชายรักชาย เกย์ ไบ อันตราย หากตรวจจะพบฉี่ม่วง แต่ฉี่ม่วงไม่ได้หมายถึงเสพยาเสพติดทุกเคส
ไฮสายควัน สายฉีด เสพยาไอซ์ แล้วมีอารมณ์ ชายรักชาย เกย์ ไบ อันตราย หากตรวจจะพบฉี่ม่วง แต่ฉี่ม่วงไม่ได้หมายถึงเสพยาเสพติดทุกเคส
- แพทย์เผย ไฮสายควัน สายฉีด เสพยาไอซ์ แล้วมีอารมณ์ ชายรักชาย เกย์ ไบ อันตราย หากตรวจจะพบฉี่ม่วง แต่ฉี่ม่วงไม่ได้หมายถึงเสพยาเสพติดทุกเคส
News Update วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม 2563 : หลังจากได้นำเสนอบทความเรื่อง อาการดาวน์ยาไอซ์ คืออะไร ไฮค้าง ยาไอซ์หมดฤทธิ์ ระบาดใน ชายรักชาย เกย์ นิยมไฮสด แตกใน เสี่ยงดื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี
และ กรมการแพทย์ ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ สารเสพติด ที่พบมากคือ ยาบ้า ยาไอซ์ยาอี ยาเลิฟ นิยมในหมู่วัยรุ่น นายแบบ นางแบบ ที่ใช้สื่อสารกันในโลกออนไลน์ว่า #น้ำแข็ง #ไฮ #คูล #Hi #สายดีด #สายเงี่ยน #สายไฮ #hicool #ไฮคูล #ไฮลอย #ไฮนัว #งานดีด
ไฮ คืออะไร ? คือ การเสพยาไอซ์ ที่มักจะมีอาการดีด มีอารมณ์สนุกสนานตลอดเวลาโดยไม่เหนื่อย ไม่หิว บางคนบอกว่า เสพยาไอซ์ แล้วมีอารมณ์ ? โดยพบว่าการเสพยาไอซ์จะ มีอารมณ์ทางเพศมากขึ้น
คลิ๊กอ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : อาการดาวน์ยาไอซ์ คืออะไร ไฮค้าง ยาไอซ์หมดฤทธิ์ ระบาดใน ชายรักชาย เกย์ นิยมไฮสด แตกใน เสี่ยงดื้อยาต้านไวรัส
ทั้ง ไฮสายควัน ไฮฉีด ที่กำลังแพร่ระบาดใน ชายรักชาย เกย์ ไบเซกซ์ชัวล์ ( ไบเซกซ์ชัวล์ คืออะไร ถ้าพูดถึง ไบเซกซ์ชัวล์ หมายถึง ผู้ชายที่ชื่นชอบผู้หญิงด้วย และ ผู้ชายด้วย สามารถมีเซ็กซ์ได้ทั้งสองเพศ )
โดย นิยมการเสพยาไอซ์ หรือ ไฮสด แตกใน เพราะการ เสพยาไอซ์ แล้วมีอารมณ์ มากขึ้น
การตรวจหายาและสารเสพติดในร่างกาย จะใช้การตรวจจากตัวอย่างปัสสาวะซึ่งจะได้ผลดีที่สุดและเป็นที่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมในระดับสากล
ขณะที่มีคำถามมาว่า ยา ที่ ไม่ใช่ยาเสพติด มีผลทำให้การตรวจปัสสาวะเป็นผลบวก หรือ ฉี่ม่วง มีอะไรบ้าง ?
และ จากระทู้ได้ถามว่า “วันนี้เสพยาไอซ์ 1วัน แล้วจะหยุดเสพ อยากทราบว่าฉี่เราจะม่วงกี่วัน ถึงจะหมดครับและมีวิธีไหนช่วยไล่สารออกจากร่างกายเร็วๆ พอมีไหมครับ” ? หรือ ยาไอซ์ อยู่ในร่างกายกี่วัน ?
วิธีขับสารแอมเฟตามีนออกจากร่างกาย แพทย์ได้ระบุว่า ถ้าหมายถึง ยากลุ่มแอมเฟตามีน พวกยาไอซ์ ยาอี ปกติยาจะ จะมีครึ่งชีวิต รวมถึงออกฤทธิ์ประมาน 10 ชั่วโมง หมายถึงจะลดลงทีละครึ่งไปเรื่อยๆ ทุก10 ชั่วโมง การขับออกจะขับทางปัสสาวะ
ดังนั้น การจะให้สารขับ เหล่านี้ออกได้มากขึ้น ต้องทำให้ปัสสาวะอยู่ในสภาวะเป็นกรด เช่น การรับประทานอาหารเสริมประเภท vitamin C อาจจะพอช่วยได้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณสารเสพติดในปัสสาวะ ได้แก่ น้ำหนักของผู้เสพ ปริมาณของการเสพ ระยะเวลาความถี่ของการใช้ยา
เช่น ผู้ที่เสพยาบ้า หรือ ยาไอซ์ จะสามารถตรวจพบ เมทอมเฟตามีนหรือแอมเฟตามีน ในผู้เสพที่ไม่ประจำใน 1-3 วัน หลังเสพ
และ 2-3 วัน สำหรับผู้ที่เสพประจำ จนถึง 2-3 สัปดาห์สำหรับผู้เสพเรื้อรัง และแตกต่างกันไปสำหรับผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม แพทย์เเนะนำให้เลิกใช้สารเสพติด และ ควรปรึกษาจิตเเพทย์ในการเลิกด้วย เนื่องจากในระยะยาว ระบบต่างๆ ในร่างกายมีผลต่อประสาทส่วนกลาง เช่น นอนไม่หลับ มือสั่น ใจสั่น ใจเต้นผิดจังหวะ อาจเสียชีวิตเฉียบพลันได้
ขณะที่ ยาที่มีผลทำให้การตรวจปัสสาวะเป็นผลบวก หรือ ฉี่ม่วง มีอะไรบ้าง ?
ซึ่งยังมีหลายคนเข้าใจผิดว่า เมื่อมีการใช้สารเสพติดจะทำให้ปัสสาวะออกมามีสีม่วงเลย จริง ๆ แล้วปัสสาวะม่วง ที่ว่า หมายถึงการนำปัสสาวะที่มีสีปกติไปผสมกับสารเคมีพิเศษที่ใช้ในการตรวจหาสารเสพติด
หากผู้ถูกตรวจมีการใช้สารเสพติดจริง สารเคมีจะทำปฏิกิริยากับปัสสาวะและเปลี่ยนให้กลายเป็นสีม่วง ทำให้ถูกเรียกติดปากว่าฉี่ม่วง
การตรวจพิสูจน์เพื่อคัดแยกตัวอย่างปัสสาวะที่ให้ผลบวก หรือ ฉี่ม่วง กรณีมีสารออกฤทธิ์ของ เช่น ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน แอมเฟตามีน อีเฟดรีน หรือ ยาอี จำเป็นต้องกระทำการตรวจในโรงพยาบาล
กรณี ฉี่ม่วง ที่ไม่ใช่การเสพยาเสพติด ขั้นตอนการตรวจสารเสพติดทางปัสสาวะมีดังนี้
การตรวจคัดกรองขั้นต้น ( Screening Test ) เป็นการตรวจหาว่ามีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นชนิดใด วิธีการตรวจคัดกรองขั้นต้นมีอยู่ 2 หลักการ คือ
1 Color test 2. Immunoassay Test kits positive negative ตรวจโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามด่านต่างๆ ไม่ใช่ นักเทคนิคการแพทย์
เมื่อผลเป็นบวกจะมีการดำเนินการตรวจเพื่อยืนยันอีกครั้ง เพราะอาจมีสารหรือตัวยารักษาโรคบางชนิดที่รับประทานอยู่และทำให้เกิดผลลวงได้
การตรวจยืนยัน ( Confirmation Test ) โดยใช้หลักการทางโครมาโตรกราฟี ( Chromatography ) ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเทคนิคการตรวจขั้นสูง สามารถตรวจพบสารเสพติดที่มีปริมาณน้อยได้
และสามารถแยกชนิด ระบุประเภทของสารเสพติดได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ เป็นมาตรฐานสากล นิยมนำมาใช้ตรวจคัดกรองในผู้ต้องสงสัยและตรวจประเมินในผู้ที่ต้องการรับการบำบัดสารเสพติดได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ในรายที่ตรวจคัดกรองขั้นต้นแล้วพบว่าผลเป็นบวก หรือ มีข้อสงสัยว่ามีสารเสพติดในร่างกายจะต้องทำการตรวจยืนยันในขั้นต่อไป
จากการตรวจคัดกรองขั้นต้น สารที่อาจให้ผลบวกลวง หรือรบกวนการทดสอบโดยหลักการเคมีหรือคัลเลอร์เทสต์
จากยาที่มีโครงสร้างที่เรียกว่ากลุ่ม amine อยู่ในโครงสร้างทางเคมีของยาด้วย จึงอาจจะมีโอกาสทำให้ฉี่ม่วงได้มีหลายชนิด
เช่น คลอร์เฟนิรามีน เป็นยานี้ใช้สำหรับบรรเทาอาการแพ้ และหวัด ได้แก่ น้ำมูกไหล อาการจาม คันตาและน้ำตาไหลจากการแพ้
เช่น แพ้ละออง เกสรดอกไม้ ซึ่งเมื่อก่อนเราหาซื้อตามร้านขายยาได้ เพราะหลายคนใช้เพื่อการหลับพักผ่อน แต่ก็มีผู้นำไปทำยาเสพติด จึงทำให้ผู้บริโภคหาซื้อไม่ได้
ซูโดอีเฟดรีน ( Pseudoephedrine) ช่วงไม่ถึงสิบปี เราหาซื้อมาทานแก้ไข้หวัด แต่มีพวกขบวนการลักลอบทำยาเสพติด นำเอาไปเป็น 1 ใน 14 ของสารตั้งต้น ผลิตยาเสพติด
จนกระทั่ง ซูโดอีเฟดรีน เป็นยาผิดกฎหมายไปเลย ส่วน เฟนิลโปรปาโนลามีน เฟนฟลูรามีน (Fenfluramine) ยาที่ใช้รักษาอาการชัก
และ เฟนเทอร์มีน ( Phentermine ) เป็นยารักษาโรคอ้วนที่แพทย์อาจนำมาใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกายในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอื่นและจำเป็นต้องลดน้ำหนัก โดยจะออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต รวมถึงลดความอยากอาหาร
ดังนั้นจึงทำให้การตรวจ Color test สารที่ให้ผลบวกลวง หรือ รบกวนการทดสอบ โดยหลักการภูมิคุ้มกันวิทยา หรือ ทางอิมมูโนแอสเสย์ เช่น ซูโดอีเฟดรีน อีเฟดรีน รานิทิดีน โปรเคน คลอโรควิน เฟนฟลูรามีน
นักเทคนิคการแพทย์ จะใช้วิธีการใช้และแปลผลโดย Immunoassay ซึ่งจะเห็นได้ว่าการรับประทานยาบางชนิดที่มีโครงสร้างหรือองค์ประกอบ คล้ายสารเสพติดให้โทษตามกฎหมายนั้น
สามารถทำให้ผลการตรวจ Screen test มีผลเป็นบวกและอาจทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับยาเสพติด ดังนั้น เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องใช้ยาเหล่านี้
ควรมีหลักฐาน หรือ เอกสารใบรับรองแพทย์ต่าง ๆ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์และ ต้องมีการตรวจละเอียดในขั้นตอนต่อไป ควรปรึกษาแพทย์ เภสัชกร ขอคำแนะนำ กรณีที่ต้องใช้ยาเหล่านี้ในการรักษาโรคด้วย
โดย สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ระบุว่า ยาและสารเสพติด เมื่อเสพเข้าไปจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด
หลังจากนั้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง ร่างกายจะขับยา และสารเสพติดออกมาทางปัสสาวะ ซึ่งมีความเข้มข้นมากพอทำให้ตรวจพบได้ง่าย
และตกค้างในปัสสาวะได้นานหลายวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะร่างกายของผู้เสพแต่ละคน รวมถึงปริมาณที่ใช้ ความถี่และชนิดของยาและสารเสพติดที่เสพเข้าสู่ร่างกาย
ดังนั้น สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี จึงมีการตรวจยืนยัน โดยใช้ หลักการทาง โครมาโตรกราฟฟี ( Chromatography ) หรือ วิธีการทางห้องปฏิบัติการในการแยกสารผสม
เป็นเทคนิคการตรวจขั้นสูงเป็นการตรวจวิเคราะห์ ที่มีความละเอียดสูงสามารถตรวจหายาและสารเสพติดที่มีปริมาณน้อยๆ ได้
และสามารถแยกชนิด ระบุ ประเภทของยาและสารเสพติดได้อย่างถูกต้องแม่นยำเป็นมาตรฐานสากล
โดยสามารถนำมาใช้ตรวจคัดกรอง ในผู้ต้องสงสัย และตรวจประเมินในผู้ป่วยยา และสารเสพติดได้เป็นอย่างดี
16 กรกฎาคม 2563
ผู้ชม 2291 ครั้ง